07 กรกฎาคม 2552

เปลี่ยนที่อยู่บล๊อกเป็น http://www.phuketcarrent.info/

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ ขอเปลี่ยนที่อยู่บล๊อกเป็น

http://www.phuketcarrent.info/


ข้อมูลโดย เพียวคาร์เร้นท์ (Pure Car Rent)
เว็บไซต์ http://www.purecarrent.com/

24 เมษายน 2552

การคิดค่าเช่ารถ & การคิดระยะเวลาการเช่ารถ

การคิดค่าเช่ารถปกติจะคิดเริ่มต้นด้วยระยะเวลาการเช่าอย่างน้อย 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมงครับ ยกตัวอย่างเช่น หากเริ่มต้นเช่ารถจากวันนี้เวลา 15.00 น. ก็สามารถคืนรถวันพรุ่งนี้เวลา 15.00 น. นับเป็นการเช่ารถ 1 วันครับ

มักจะมีคนสงสัยครับว่า ถ้าต้องการใช้รถแค่ไม่กี่ชั่วโมง จะเช่ารถไม่ถึงวันได้หรือเปล่า จริงๆแล้วก็ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดกฎเกณฑ์ของแต่ละบริษัทครับ แต่โดยปกติทั่วไปการเช่ารถขั้นต่ำมักจะต้องมีระยะเวลาการเช่าอย่างน้อย 1 วัน ถ้าเช่าไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็คิดค่าเช่าเท่ากับ 1 วัน หากมีบริษัทรถเช่าบางที่ที่เขาให้บริการเช่ารายชั่วโมง อัตราค่าเช่ารถรายชั่วโมงก็จะสูงเมื่อเปรียบเทียบกับการเช่า 1 วันครับ คงไม่มีบริษัทไหนที่ให้เช่ารถรายชั่วโมง โดยนำอัตราค่าเช่ารายวัน มาหาร 24 แล้วคิดเป็นอัตราค่าเช่ารายชั่วโมงครับ เพราะคิดแล้วคงไม่คุ้มกับต้นทุนการทำธุรกิจ

ถ้าเปรียบเทียบก็อาจจะเปรียบกับโรงแรมที่อยู่ใกล้ท่าอากาศยานที่มักจะมีห้องพักบริการแบบเป็นรายชั่วโมงสำหรับลูกค้าที่ต้องรอต่อเครื่อง อัตราค่าห้องพัก 3-4 ชั่วโมงมักจะเท่ากับ 60-70% ของอัตราค่าห้องพัก 1 คืน หรือหากถ้าท่านพักในช่วงกลางคืน ทางโรงแรมก็ต้องคิดค่าห้องอย่างน้อย 1 คืน

อีกกรณีที่พบบ่อยคือ ถ้าเช่ารถมากกว่า 1 วัน แต่ต้องการคืนรถหลังจากเวลาที่รับรถ จะคิดค่าเช่าอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น หากเริ่มเช่ารถวันนี้เวลา 09.00 น. และต้องการคืนรถพรุ่งนี้เวลา 14.00 น. จะคิดค่าเช่าอย่างไร อันนี้จริงๆก็ขึ้นอยู่กับกฎของบริษัทรถเช่าแต่ละที่ครับ จากประสบกาณ์ของผม บริษัทรถเช่ามักจะคิดอัตราค่าเช่าของชั่วโมงที่เกิน เท่ากับ 1/5 หรือ 1/6 ของอัตราค่าเช่ารายวัน ยกตัวอย่างเช่น อัตราค่าเช่ารถ 1 วัน เท่ากับ 1,200 บาท/วัน อัตราค่าเช่ารถรายชั่วโมง จะเท่ากับ 240 บาท/ชั่วโมง (ถ้าคิด 1/5 ของอัตราค่าเช่ารถรายวัน) หรือ จะเท่ากับ 200 บาท/ชั่วโมง (ถ้าคิด 1/6 ของอัตราค่าเช่ารถรายวัน)

มักจะมีคนสงสัยครับว่า ทำไมไม่คิดค่าเช่ารายชั่วโมงเท่ากับ ค่าเช่ารายวันหารด้วย 24 ชั่วโมง อันนี้ถ้าถามมือใหม่ก็คงงงครับ ถ้าจะให้ตอบแบบไม่อยากอธิบายมากก็จะบอกว่า "เป็นกฎของบริษัทครับ" แต่ถ้าจะให้ตั้งใจตอบจริงๆแล้ว ทุกอย่างมีหลักการและเหตุผลครับ เหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะช่วงเวลาทำงานครับ คนที่ต้องการเช่ารถ ส่วนมากก็ต้องการเช่ารถหรือต้องการใช้รถในช่วงเวลากลางวันครับ สมมุติถ้าลูกค้าคนหนึ่งเริ่มเช่ารถเวลา 11.00 น. แล้วต้องการคืนรถวันถัดไปเวลา 16.00 น. ก็ยากที่จะหาลูกค้าคนต่อไปมาเช่ารถต่อ ก็ต้องรอจนถึงวันรุ่งขึ้น เหมือนกับเสียเวลาการเช่าไป 1 วัน ทั้งๆที่ลูกค้าคนแรกใช้รถเกินมาแค่ 5 ชั่วโมง

ถ้าเปรียบเทียบกับโรงแรม เวลาที่ต้องคืนห้อง (check out) คือเวลาเที่ยงวัน ถ้าท่านต้องการคืนห้องหลังจากนั้น ทางโรงแรมก็อาจจะอนุโลมให้ไม่เกิน 15.00 - 16.00น. ในกรณีที่มีห้องว่าง แต่ถ้าท่านต้องการคืนห้องหลังจากนั้น ทางโรงแรมก็มักจะคิดค่าห้องเพิ่ม 1 คืน เพราะโรงแรมจะไม่สามารถเก็บห้องนั้นไว้สำหรับลูกค้าคนต่อไปได้ หรืออาจจะยุ่งยากต่อการทำความสะอาดและยุ่งจากต่อระบบการจองห้องพัก

ข้อมูลโดย เพียวคาร์เร้นท์ (Pure Car Rent)
เว็บไซต์ http://www.purecarrent.com/

13 เมษายน 2552

เช่ารถ ทำไมมีการจำกัดระยะทางการใช้

การเช่ารถ แล้วมีการจำกัดระยะทางการใช้ต่อวันนั้นขึ้นอยู่กับระเบียบปฏิบัติของบริษัทรถเช่าแต่ละที่ครับ บางที่ก็มีการจำกัด บางที่ก็ไม่มีการจำกัดระยะทางการใช้งาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคาค่าเช่ารถด้วย

ถ้าถามว่าทำไมต้องมีการจำกัดระยะทางการใช้ต่อวันด้วย หลายๆคนเคยถามผมว่าจ่ายค่าเช่ารถแล้ว ก็น่าจะให้ใช้รถเท่าไหร่ก็ได้ อันนี้ก็เป็นมุมมองหนึ่งครับ แต่ถ้าคิดในแง่ของความเป็นจริง ทุกอย่างมีต้นทุนครับ รถเช่าหนี่งคันก็มีต้นทุนของมัน ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆของการคิดต้นทุนรถเช่า เช่น

- ค่าเสื่อม รถหนึ่งคันที่ซื้อมา พอใช้ไปสักระยะแล้ว เวลาเอารถไปขาย ก็ไม่สามารถขายได้ราคาเท่าเดิม อันนี้คือค่าเสื่อมครับ ยกตัวอย่างเป็นตัวเลขง่ายๆ สมมุติว่าเราซื่อรถมา 550,000 บาท ใช้รถไป 5-6 ปี ระยะทางใช้ไป 150,000 กม. เวลาขายรถก็น่าจะขายรถได้ประมาณ 200,000 - 250,000 บาท ถ้าเราลองคิดง่ายๆ ก็เท่ากับแต่ละกิโลเมตรที่รถวิ่ง เท่ากับเราเสียเงินประมาณ 2 บาท/กม.

- ค่าสึกหรอ และค่าซ่อมบำรุงตามระยะทาง แน่นอนครับทุกๆระยะ 5,000 หรือ 10,000 กม.ที่ใช้รถไป ก็ต้องมีการซ่อมบำรุง และเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ อีกทั้งยังต้องมี ยางรถยนต์ ผ้าเบรก แบตเตอรี่ และอื่นๆที่ต้องซ่อมบำรุงตามระยะเวลา หรือระยะทางที่รถวิ่ง

ถ้าแจกแจงออกมาเราก็จะรู้ว่าทุกๆระยะทาง หรือทุกๆกิโลเมตรที่รถยนต์วิ่งไป ก็คือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ยังไม่รวมค่าบริหารจัดการ เช่น ค่าแรงพนักงาน ค่าเช่าสำนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และจิปาถะ

ค่าใช้จ่ายที่ยกมาทั้งหมดก็คือต้นทุนครับ ทีนี้ถ้ารู้แล้วว่ามีต้นทุนอย่างไร การที่จะให้ใช้รถเช่าโดยไม่มีข้อจำกัดเลยคงเป็นไปไม่ได้ ยกเว้นบริษัทรถเช่าบางที่ก็ได้คิดค่าเช่าเผื่อต้นทุนส่วนนี้ไว้แล้ว ซึ่งก็อาจเป็นผลให้ค่าเช่ารถแพงขึ้นครับ

ถ้าผมเปรียบเทียบง่ายๆกับร้านอาหาร ซึ่งปัจจุบันมีหลายร้านที่ให้บริการแบบบุฟเฟ่ต์ ร้านอาหารเหล่านี้ก็จะต้องตั้งราคาเผื่อเอาไว้ก่อน และอาจมีกฎ ข้อจำกัดเรื่องเวลาในการรับประทาน หรือห้ามรับประทานเหลือ เพื่อป้องกันไม่ให้ค่าใช้จ่ายเกินต้นทุนที่คำนวณเอาไว้ และแน่นอน ราคาในการรับประทานต่อหัวของร้านแบบบุฟเฟ่ต์ก็มักจะสูงกว่าราคาอาหาร 1-2 จานของร้านอาหราทั่วไป เพราะเขาก็ต้องตั้งราคาเผื่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

สำหรับที่เพียวคาร์เร้นท์ เราจะมีการจำกัดระยะทางการใช้เฉพาะในกรณีระยะเวลาการเช่าน้อยๆไม่กี่วัน ถ้าเช่าหลายๆวัน เราก็มักจะไม่จำกัดเพื่อความสบายใจของลูกค้า เพราะจะไม่คุ้มค่าเช่าแน่ๆครับ ถ้าลูกค้าเช่ารถ 1-2 วัน แล้วลูกค้าขับรถจากภูเก็ตไปกรุงเทพ ต้องใช้รถไม่น้อยกว่า 1,800 - 2,000 กม. เห็นชัดๆว่าถ้าให้เช่าไปในราคาปกติ ต้องขาดทุนแน่ๆครับ

ก็เป็นอีกบทความที่ผมคิดว่าผู้อ่านน่าจะได้ประโยชน์ และเข้าใจการคิดต้นทุนในการทำธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจรถเช่า

ข้อมูลโดย เพียวคาร์เร้นท์ (Pure Car Rent)
เว็บไซต์ http://www.purecarrent.com/

09 เมษายน 2552

จองรถเช่า ทำไมต้องจ่ายมัดจำ

ถ้าให้ตอบจากใจผู้ให้บริการรถเช่า ผมคิดว่าคงไม่มีใครอยากเก็บเงินมัดจำหรือทำอะไรให้ยุ่งยากในขั้นตอนการจองหรอกครับ เพราะถ้ายิ่งขั้นตอนการจอง และการเช่ารถ ง่ายและสะดวกเท่าไหร่ ก็จะทำให้ลูกค้าพอใจมากขึ้นเท่านั้น และก็มีโอกาสที่จะได้ลูกค้ามากขึ้นด้วยครับ

แต่ในความเป็นจริง เวลาลูกค้าจะจองรถเช่า บริษัทรถเช่า ก็มักจะขอหมายเลขบัตรเครดิต หรือขอให้โอนเงินมัดจำเพื่อเป็นการประกันการเช่าก่อน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นละครับ จากประสบการณ์ที่ผมทำงานในบริษัทรถเช่า และเคยทำหน้าที่รับจองรถอยู่หลายปี ได้พบปะพูดคุยกับลูกค้าหลายชาติหลายภาษา ก็พบว่าคนทุกชาติทุกภาษาก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี มีทั้งคนที่มีความรับผิดชอบและไม่มีความรับผิดชอบ

ถ้าไม่มีการวางเงินมัดจำใดๆเลย บางคนก็แค่จองรถเอาไว้ แต่ไม่มารับรถ หรือไม่มาเช่าเสียเฉยๆก็มี ฟังดูก็ไม่เห็นน่าจะเสียหายมากมาย เอารถไว้ให้คนอื่นเช่าก็ได้ แต่ถ้าคิดในความเป็นจริงมันไม่ง่ายอย่างงั้นครับ สมมุติว่ามีคนจองรถไว้วันอังคารตอนเช้า นั่นหมายความว่ารถคันนั้นบริษัทรถเช่าจะให้ลูกค้าคนก่อนหน้าเช่าได้ไม่เกินวันจันทร์ตอนเย็น ถ้ามีลูกค้าที่ต้องการเช่าหลายวันบริษัทรถเช่าก็ให้เช่าไม่ได้เนื่องจากรถติดจองอยู่แล้ว พอถึงเวลาเช่า คนที่จองรถไว้ไม่มาเช่า บางครั้งบริษัทรถเช่าก็ยังไม่กล้าให้ลูกค้าคนอื่นเช่า เผื่อว่าคนที่จองรถไว้นั้นเกิดเหตุสุดวิสัยบางอย่างที่ทำให้มาไม่ทันเวลา ถ้ารีบให้คนอื่นเช่าไปก็อาจถูกต่อว่าได้ ว่าทำไม่ไม่เก็บรถไว้ให้ทั้งๆที่จองรถไว้แล้ว แต่ครั้นรอแล้วคนที่จองรถไว้ไม่มารับ มันก็ทำให้บริษัทรถเช่าสูญเสียโอกาสที่จะให้คนอื่นเช่ารถได้ และบางครั้งการสูญเสียโอกาส ไม่ใช่แค่สูญเสียการเช่าไปเพียง 1 วัน หลายครั้งที่ลูกค้าคนอื่นต้องการรถหลายวัน แต่บริษัทก็ให้คนอื่นเช่าไม่ได้เพราะรถถูกจองไว้แล้ว

รถเช่านั้นแตกต่างจากสินค้าอื่นครับ สินค้าอื่นถ้าขายลูกค้าคนแรกไม่ได้ ก็เก็บไว้เผื่อมีลูกค้าคนอื่นมาซื้อก็ขายได้ สำหรับรถเช่านั้น เมื่อวันเวลาผ่านไป ก็เปรียบเสมือนเงินที่สูญเสียไปครับ เพราะการเช่านั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลา

ในทางกลับกัน ถ้ามองในมุมมองของผู้เช่า และในความเป็นจริง ก็มีครับที่หลายๆคนจองรถและจ่ายเงินมัดจำหรือให้หมายเลขบัตรเครดิตไว้แล้ว แต่บริษัทรถเช่ากลับไม่มีรถให้ในวันรับรถโดยอ้างเหตุผลต่างๆนานา ถึงแม้กับรถเช่ายี่ห้อดังก็เคยมีลูกค้าเจอปัญหานี้เช่นกัน อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของบริษัทรถเช่าแต่ละที่ครับ จริงๆแล้วอาจมีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นได้บ้างครับ อันนี้ไม่ได้แก้ตัวแทนนะครับ ในบางครั้งรถที่ถูกจองไว้อาจเกิดอุบัติเหตุก่อนถึงวันจองไม่กี่วัน ทำให้ไม่สามารถหารถมาทดแทนได้ทัน และถ้าเป็นช่วงเทศกาล ก็ยากที่จะหารถมาแทนให้ได้จริงๆครับ ที่เพียวคาร์เร้นท์เองก็เคยมีปัญหานี้ครับ แต่เราก็สามารถแก้ไขให้ลูกค้ามีรถใช้ได้ ยังไม่เคยพลาด (อันนี้เป็นข้อมูลขณะเขียนนะครับ นับตั้งแต่อดีต ถึงตอนนี้ที่กำลังเขียนอยู่ ปี 2552 ครับ)

ผมคิดว่าบทความนี้อาจทำให้หลายๆคนเข้าใจจิตใจคนทำธุรกิจรถเช่ามากขึ้นครับ และเข้าใจกระบวนการในธุรกิจรถเช่าด้วยครับ และก็แน่นอนครับ ในธุรกิจรถเช่าก็มีคนทำธุรกิจซึ่งซื่อสัตย์ และคนที่ไม่ดี ไม่ซื่อสัตย์ เหมือนคนในธุรกิจอื่นๆเหมือนกัน

ข้อมูลโดย เพียวคาร์เร้นท์ (Pure Car Rent)
เว็บไซต์ http://www.purecarrent.com/

08 เมษายน 2552

ไม่เคยเช่ารถ อยากจองรถเช่า..ต้องทำอย่างไร

ถ้าอยากจะเช่ารถนั้นไม่ยากครับ ก่อนอื่นตรวจสอบข้อกำหนดของบริษัทให้เช่ารถแต่ละที่ก่อนว่าเขาต้องการอะไรบ้าง ปกติจะเช่ารถต้องมี
- บัตรประชาชน หรือ พาสปอร์ต (สำหรับชาวต่างประเทศ)
- ใบขับขี่
- บัตรเครดิต
- ต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป

จากนั้นก็ต้องเตรียมข้อมูลเบื้องต้น เพื่อบริษัที่ให้เช่ารถจะสามารถตรวจสอบได้ว่ามีรถที่เราต้องการว่างให้เช่าหรือเปล่า และราคาเท่าไหร่ ข้อมูลที่บริษัทรถเช่าทั่วๆไปต้องการคือ
- ประเภทของรถ เช่น ต้องการรถกี่ที่นั่ง เกียร์ธรรมดา หรือ เกียร์อัตโนมัติ
- วันและเวลาที่เริ่มเช่า และสิ้นสุด
- สถานที่ที่ต้องการรับรถ และคืนรถ
ปกติถ้ารู้ข้อมูลข้างต้นแล้ว บริษัทรถเช่า จะสามารถตรวจสอบให้เราได้ว่า มีรถที่ต้องการหรือไม่ และราคาเท่าไหร่ ระยะเวลาการเช่าที่ต่างกัน ราคาก็ต่างกันครับ อีกทั้งช่วงเวลาที่เช่าก็มีผลต่อราคาครับ เช่น ช่วงปีใหม่ ช่วงสงกรานต์ ราคาก็จะสูง

เมื่อเตรียมข้อมูลแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการจอง
- จองทางเว็บไซต์ ถ้าจะเช่ารถที่ภูเก็ต ก็จองได้ที่ http://www.purecarrent.com/
- จองทางโทรศัพท์

เมื่อทำการจองแล้ว ก็ต้องยืนยันการจอง โดยบริษัทรถเช่าก็มักจะขอข้อมูลบัตรเครดิต หรือให้ชำระเงินมัดจำ เพื่อเป็นการประกันการเช่าครับ

ข้อมูลโดย เพียวคาร์เร้นท์ (Pure Car Rent)
เว็บไซต์ http://www.purecarrent.com/

ไป..ภูเก็ต จอง..รถเช่า ไว้ก่อนดีกว่า

เนื่องจากการบริการรถสาธารณะในภูเก็ตยังไม่สะดวกเหมือนในกรุงเทพฯ ผู้ที่ไปท่องเที่ยวหรือทำธุรกิจในจังหวัดภูเก็ตส่วนใหญ่จึงมักจะมีโอกาสได้ใช้บริการรถเช่า อันนี้ไม่รวมถึงนักท่องเที่ยวหมู่คณะนะครับ เพราะเขาจะมีการจัดเตรียมรถบัส หรือรถตู้ไว้อยู่แล้ว

ถ้าจะใช้บริการรถเช่า ขอแนะนำให้จองรถล่วงหน้าครับ เนื่องจาก หากท่านมาถึง ท่าอากาศยานภูเก็ต หรือ สถานีขนส่ง (บ.ข.ส.) แล้วจึงค่อยหารถเช่า ท่าอาจจะผิดหวัง และไม่ได้รับความสะดวก อาจเนื่องมาจาก รถเช่าถูกจองเต็มล่วงหน้าเรียยร้อยแล้ว โดยเฉพาะช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หรือ High Season หรืออาจต้องเสียเวลารอ ถ้ารถไม่พร้อม เพราะฉะนั้น จองรถเช่า จองล่วหน้าดีกว่าครับ จะได้ไม่เสียเวลา และเที่ยวหรือทำธุระได้ทันที

ถ้าจะจองรถล่วงหน้าที่เพียวคาร์เร้นท์ ท่านสามารถจองได้โดย
- จองผ่านเว็บไซต์ www.PureCarRent.com และสามารถดูข้อมูลรถเช่า และเงื่อนไขต่างๆในเว็บไซต์ได้เลยครับ
- จองผ่านโทรศัพท์ 076 211002, 076 217797, 076 256797

เพื่อเป็นข้อมูลให้ท่านได้พิจารณา บริการรถสาธารณะที่มีในภูเก็ต มีดังนี้ครับ
- Airport Bus ที่วิ่งรับส่งจาก ท่าอากาศยานภูเก็ต ไปยัง ตัวเมืองภูเก็ต
- รถตู้ Limousine ให้บริการรับส่งจาก ท่าอากาศยานภูเก็ต ไปยัง หาดป่าตอง หาดกะตะ หาดกะรน
- รถสองแถว ให้บริการ ระหว่างตัวเมืองภูเก็ต ไปยังหาดต่างๆ เช่น หาดป่าตอง หาดกะตะ หาดกะรน หาดราไวย์ หาดไนหาน หาดสุรินทร์ หาดกมลา
- รถแท็กซี่ หรือ รถแท็กซี่มิเตอร์ ส่วนมากจะจอดอยู่ที่ ท่าอากาศยานภูเก็ต สถานีขนส่ง (บ.ข.ส.) และตามโรงแรมใหญ่ๆครับ ยังไม่ค่อยมีวิ่งให้บริการทั่วไปตามท้องถนนเหมือนในกรุงเทพฯ
- รถตุ๊กๆ มีให้บริการในเขตตัวเมืองภูเก็ต หาดบางหาด โดยเฉพาะหาดสำคัญ เช่น หาดป่าตอง หาดกะตะ หาดกะรน
- รถเมล์ มีเฉพาะในเมือง และไม่สามารถให้บริการได้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด

ข้อมูลโดย เพียวคาร์เร้นท์ (Pure Car Rent)
เว็บไซต์ http://www.purecarrent.com/

29 มีนาคม 2552

เที่ยวภูเก็ต ไปเมื่อไหร่ดี

เที่ยวภูเก็ต ไปเมื่อไหร่ดี เป็นคำถามหนึ่งที่ผมถูกถามบ่อยที่สุดเนื่องจากเป็นเด็กภูเก็ตตัวจริง อันนี้มีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงครับ

ประการแรกคงหนีไม่พ้นเรื่องลมฟ้าอากาศครับ เพราะคนมาเที่ยวภูเก็ตส่วนใหญ่ก็คงจะนึกถึง ทะเล หาดทราย และแสงแดด (แม้ว่าคนไทยส่วนมากจะกลัวผิวดำ) เพราะฉะนั้นคงไม่มีใครอยากมาภูเก็ตตอนช่วงมรสุม หรือช่วงที่มีฝนมากใช่ไหมครับ

ช่วงเวลาที่เหมาะจะท่องเที่ยวภูเก็ตมากที่สุดก็เป็นเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายน หรือที่เขาเรียกว่าช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หรือ High Season นั่นเอง เป็นช่วงเวลาที่มีฝนน้อยครับ แต่ไม่สามารถรับประกันได้นะครับว่าจะไม่เจอฝน มีอยู่ปีหนึ่ง ผมจำได้มีฝนตกติดต่อกันหลายวันในช่วงเดือนธันวาคม ทำให้ฝรั่งหลายคนที่มาเซ็งไปตามกันเลย

และแน่นอนช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนตุลาคม เป็นช่วงมรสุม มีฝนตกเยอะ เรียกว่าช่วง Low Season หรือเดี๋ยวนี้เขาเรียกใหม่ให้ดูดีว่า Green Season แต่ก็มีบางโอกาสที่ฝนทิ้งช่วงก็มาเที่ยวได้นะครับ

อีกปัจจัยหนึ่งที่จะต้องคำนึงถึงก็คือ ในช่วงมรสุมนั้นเราไม่แนะนำให้เล่นน้ำทะเลครับ โดยเฉพาะชายหาด้านตะวันตกของเกาะภูเก็ต เนื่องจากคลื่นลมแรง และมีคลื่นใต้น้ำที่สามารถเป็นอันตรายได้ ชาวต่างชาติหลายคนไม่เชื่อ เพราะเขาก็เคยเล่นน้ำในบ้านเมืองเขาที่มีคลื่นสูงกว่าภูเก็ต ก็ต้องมาจบชีวิตลงเพราะไม่สามารถว่ายสู้กับแรงดูดของคลื่นใต้น้ำได้ก็มี ไม่ได้เล่าให้กลัวนะครับ แต่ให้ระวัง ถ้าเดินเล่นน้ำทะเลตามชายหาดก็ไม่มีปัญหาอะไร

ประการที่สอง เกี่ยวเนื่องมาจากลมฟ้าอากาศข้างต้นครับ คือราคาค่าบริการต่างๆในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเกี่ยวข้องกับฤดูกาลอย่างชัดเจน คือ ช่วง High Season อะไรอะไรก็จะมีราคาสูงกว่าช่วง Low Season โดยเฉพาะช่วงเดือนธันวาคม ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งจะเป็นช่วงฤดูหนาวของทางยุโรป และอเมริกา ทำให้มีนักท่องเที่ยวหนีหนาวเข้ามาเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมาก แน่นอนครับราคาสินค้าและบริการต่างๆก็ต้องสูงขึ้งเป็นธรรมดา โดยเฉพาะช่วงวันที่ 20 ธันวาคม ถึง 10 มกราคม เป็นช่วงที่ราคาสูงที่สุด เรียกว่า Peak Period คือเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวมาอย่างคับคั่ง โดยเฉพาะในคืนก่อนวันคริสต์มาส และคืนก่อนวันปีใหม่ ราคาของโรงแรมจะแพงเป็นพิเศษ และหากเป็นโรงแรมใหญ่ๆหรูๆ เขาก็จะบังคับให้แขกของโรงแรมทุกคนซื้ออาหารค่ำของโรงแรมที่เรียกว่า Gala Dinner ซึ่งแน่นอนครับราคาไม่ถูกแน่

ส่วนช่วงวันสงกรานต์ก็จะมีคนมาเที่ยวเยอะ ถึงแม้ราคาโรงแรมและบริการต่างๆจะไม่แพงเท่าช่วง Peak Period แต่ก็มีคนมาจำนวนมากครับ ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็มาช่วงอื่นดีกว่า

ช่วงเทศกาลกินเจ หรือที่ชาวภูเก็ตเรียกว่า เทศกาลถือศีลกินผัก ก็เป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจที่จะไปเที่ยวภูเก็ตนะครับ เพราะนอกจากจะมีโอกาสได้ทำบุญ ทำจิตใจให้สบายแล้ว ยังมีโอกาสได้ดูขบวนแห่พระ และพิธีกรรมอันศักสิทธิ์ต่างๆตลอดช่วง 9 วันของเทศกาลกินผักด้วย

อีกอย่างที่ต้องคำนึงถึงคือ หากท่านคิดจะเดินทางไปเที่ยวตามเกาะต่างๆรอบๆภูเก็ตละก็ ต้องคำนึงถึงเรื่องฤดูกาล ลมฟ้าอากาศด้วย ถ้าเป็น เกาะพีพี เกาะเฮ อ่าวพังงา ไปได้ทั้งปีครับ เพราะอยู่ไม่ไกลและใกล้แผ่นดิน คลื่นลมจึงไม่แรงมาก ยกเว้นช่วงที่ฝนตกหนักมีพายุจริงๆบริษัททัวร์ก็จะหยุดให้บริการ แต่หากท่านต้องการไป หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะสุรินทร์ เกาะรายา ต้องไปช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายนเท่านั้น ส่วนเกาะรายานั้นเดี๋ยวนี้เขาก็ไปกันช่วง Low Season ด้วย แต่ผมก็ไม่ค่อยจะแนะนำเท่าไหร่เพราะคลื่นแรง แต่ถ้าจะไปก็ไปได้ครับ

สรุป ถ้าจะให้แนะนำ เที่ยวสนุกและประหยัด ก็ไปเที่ยวภูเก็ตในเดือนพฤศจิกายน หรือมีนาคมเพราะฝนน้อย นักท่องเทียวต่างชาติก็ไม่เยอะมากนัก หรือถ้าอยากประหยัด ช่วง Low Season ก็ไม่เลวนะครับ หาช่วงที่ฝนทิ้งช่วง และก็จองตั๋วไปกันเลย เพราะตั๋วรถ หรือเครื่องบินก็คงพอหาได้ ส่วนที่พักก็ไม่เต็มชัวร์ แถมราคาถูกด้วย ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องงนประมาณก็เที่ยวช่วง High Season เดือนไหนก็ได้ ควรหลีกเลี่ยงช่วง Peak Period (ปลายเดือนธันวาคม ถึงต้นเดือนมกราคม) เพราะราคาโรงแรมและบริการต่างๆจะแพงมาก บางที่แพงขึ้น 2-3 เท่าก็เคยมีครับ

ข้อมูลโดย เพียวคาร์เร้นท์ (Pure Car Rent)
เว็บไซต์ http://www.purecarrent.com/